ภาษาอังกฤษ TGAT ENG

เราจะสรุป BLUEPRINT ตามที่ ทปอ.กำหนดไปด้วยกันว่าที่ TGAT ภาษาอังกฤษที่น้องๆจะต้องสอบให้ได้ 100 คะแนนมีอะไรบ้าง TGAT ENG แบ่งเป็น 2 ครึ่ง ครึ่งนึงเป็น PART ที่วัด SPEAKING SKILL ซึ่ง PART นี้มีทั้งหมด 30 ข้อ ส่วนอีกครึ่งนึงเป็นตัววัด READING SKILL ซึ่ง PART นี้มีอีก 30 ข้อ เบ็ดเสร็จแล้ว TGAT ENG ของเราจะมีทั้งหมด 60 ข้อ

เทคนิคพิชิตข้อสอบ Speaking Skill

Unit 1 : Question-Response

หน้าตาของข้อสอบ Question-Response จะมีแค่ 2 บรรทัด นั่นคือประโยคตั้งต้นและประโยคโต้ตอบ แม้จะเป็นข้อสอบที่หน้าดูสั้นๆอ่านไม่เยอะ แต่ข้อสอบนี้วัดความรู้หลากหลายด้าน เพราะเป็นข้อสอบที่ให้บริบทแวดล้อมน้อย จึงต้องค่อนข้างแม่นยำคำศัพท์ สำนวนพูด (Expression) รูปแบบโต้ตอบในภาษาอังกฤษ และการตีความสถานการณ์

Unit 2 : Short and Long Conversations

ข้อสอบประเภทนี้แตกต่างจาก Question – Response ตรงที่คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว เราจะเข้าใจบริบทที่ตัวละครในบทสนทนาพูดคุยกันมากกว่าข้อสอบแบบ Question – Response แต่ก็ทำให้มีรายละเอียดที่ต้องสังเกตมากขึ้น ตามกลยุทธ์ 3S Strategy ดังนี้

1. Situation (สถานการณ์) แบ่งออกได้เป็น 2 แบบ

• Typical เป็นสถานการณ์ที่เป็นรูปแบบตายตัว ชัดเจน คาดเดาได้ เช่น ถ้าเป็นสถานการณ์ในร้านค้า อาจคาดการณ์ได้ว่าพนักงานของร้านจะถามว่าลูกค้าต้องการอะไร
• Non-typical เป็นสถานการณ์ที่มีรูปแบบไม่ตายตัว คาดเดาไม่ได้ บทสนทนาอาจดำเนินไปในรูปแบบใดก็ได้ ไม่ชัดเจน เช่น ถ้าข้อสอบระบุว่าเป็นบทสนทนาช่วงมื้อกลางวัน อาจเป็นการพูดคุยเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องครอบครัว และอื่นๆ คาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในบทสนทนาได้ยาก

2. Speaker (ผู้พูด)

• สังเกตจำนวนของผู้สนทนาให้ดี และควรแยกให้ได้ว่าใครโต้ตอบกับใครและประเด็นอะไร
• ข้อสอบ TGAT ปีที่แล้ว มีผู้สนทนาในบทสนทนาหนึ่งอยู่เพียง 2 คน แต่ยังควรระวังกรณีที่มีมากกว่า 2 คน เพราะอาจสร้างความสับสนได้

3. Status (สถานะผู้พูด)

• วิเคราะห์ตัวผู้สนทนาและความสัมพันธ์ระหว่างผู้สนทนาเพราะมีผลต่อน้ำเสียงและระดับภาษา เช่น ถ้าเป็นการรบกวนให้ผู้อื่นทำอะไรบางอย่างให้

กรณีแม่พูดกับลูก : Pass me the spoon.

กรณีเพื่อนพูดกับเพื่อน : Get me some pens

กรณีนักเรียนพูดกับครู : Could you please repeat that?

กรณีพนักงานพูดกับลูกค้า : Would you mind filling out this form

เทคนิคพิชิตข้อสอบ Reading Skill

Unit 1 : Text Completion

– ข้อสอบ Text Completion จะออก Passage มาหนึ่งอัน แล้วเว้นว่างส่วนต่างๆไว้ให้น้องๆเลือกเติมให้ย่อหน้านั้นสมบูรณ์ โดยข้อสอบส่วนนี้เป็นข้อสอบที่วัดทั้งคำศัพท์ การเข้าใจเนื้อเรื่อง และหลักไวยากรณ์

Unit 2 : Reading Comprehension

– ข้อสอบ Reading Comprehension หรือข้อสอบการอ่านจับใจความ เป็นอีกหนึ่ง Part ที่ปรากฎในข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยทุกฉบับและทุกปี สำหรับข้อสอบ TGAT ตาม Blueprint บทความต่างๆของข้อสอบจะมีความยาวประมาณ 100 -200 คำ หรือประมาณครึ่งหนึ่งหน้ากระดาษ ส่วนแนวบทความที่นำออกมาจะเน้นเป็นบทอ่านที่เรามีโอกาสพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ประกาศและบทความสารคดี ส่วนคำถามที่จะต้องตอบเก็บคะแนนนั้น ครอบคลุมตั้งแต่ใจความสำคัญของเรื่อง จุดประสงค์ รายละเอียด การตีความหรืออนุมาน คำศัพท์ และคำที่ถูกอ้างอิง

พิชิตข้อสอบ Reading Comprehension ด้วย “ Part-Whole Strategy”

เทคนิค Part- Whole Strategy ของ Eng For Thai เป็นเทคนิคการแยกประเภทคำถามเพื่อให้น้องๆหาคำตอบได้เร็วขึ้นและใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่าที่สุดในการทำข้อสอบ Reading ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่

1. Part คือคำถามที่ถามรายละเอียดปลีกย่อยที่สามารถหาคำตอบของข้อนั้นๆได้จากส่วนใดส่วนหนึ่งของเรื่อง คำถามประเภทนี้เราสามารถ scan เจาะบางบรรทัด เพื่อหาคำตอบได้ ประกอบด้วยคำถามแนว Detail (ถามหารายละเอียดทั่วไป) , ถามหาความหมาย, คำถามแนว Reference (คำถามอ้างอิง), Inference (การอนุมาน) ที่ถามย่อหน้าหรือเฉพาะบรรทัด

ตัวอย่างคำถามประเภท Part

• The pronoun ‘this’ refer to the fact that____________
• What is the function of the first sentence?

2. Whole คือคำถามที่ถามเนื้อหาที่ครอบคลุมทั่วย่อหน้าหรือบทความ จำเป็นต้องอ่านทำความเข้าใจครบทั้งย่อหน้าหรือตลอดทั้งเรื่องเพื่อหาคำตอบให้กับข้อนั้นๆ อาจเป็นคำถามที่เน้นใจความสำคัญ จุดประสงค์ของเรื่องหรือแม้เป็นรายละเอียดปลีกย่อย แต่จำเป็นต้องตรวจสอบข้อมูลกระจายทั่วทั้งบทความจึงจะหาคำตอบได้ คำถามลักษณะนี้ ประกอบด้วยคำถามแนว Main idea, Title, Headline, Purpose, True-False, Inference. ถามข้อมูลซึ่งอยู่กระจายทั้งบทความ

ตัวอย่างคำถามประเภท Whole

• What is the main idea of the passage?
• Which can be the best title of the passage?

ขั้นตอนพิชิตข้อสอบพาร์ท Reading

1. อ่าน Passage ไวๆ อย่างน้อย 1 รอบ เพื่อให้เห็นแนวทางของเรื่อง
2. ลุยคำถามประเภท Part ก่อน ซึ่งมักเป็นคำถามประเภท Detail & Reference ในเรื่อง
3. ปิดท้ายคำถามประเภท Whole ซึ่งเป็นคำถามที่ต้องอาศัยการดู Passage ทั้งเรื่องถึงจะทำได้ เช่น คำถามประเภท Main Idea/ Purpose/Inference.